โดย ดร.โสฬส ศิริไสย์
กลุ่มชาติพันธุ์ หมายถึง กลุ่มทางสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันซึ่งมีความผูกพันกับพื้นที่และทรัพยากรธรรมชาติและมีจิตวิญญาณของบรรพบุรุษเดียวกัน ประชากรของพวกเขามีมากกว่า 400 ล้านคนทั่วโลก ชาติพันธุ์ หมายถึง คนพื้นเมืองในสถานที่ซึ่งอาศัยอยู่ในระบบนิเวศเฉพาะของภูมิภาคเป็นระยะเวลานาน กลุ่มชาติพันธุ์มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากสังคมกระแสหลัก วิถีชีวิตของพวกเขาถูกจำแนกความแตกต่างได้จากการปรับตัวด้านบทบาทหน้าที่ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาผ่านการมีปฏิสัมพันธ์กับทรัพยากรธรรมชาติในระบบนิเวศมาหลายชั่วอายุคน กลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มยังคงรักษาภาษาของตน มีการประเมินว่ามีภาษาพื้นเมือง มากกว่า 4,000 ภาษาทั่วโลก แต่มากกว่าครึ่งของภาษาเหล่านี้ กำลังมีความเสี่ยงที่จะสูญหายภายในสิ้นศตวรรษนี้ กลุ่มชาติพันธุ์มักจะถูกกีดกันจากการยอมรับอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และดินแดนของพวกเขา พวกเขายังถูกกีดกันไม่ให้มีส่วนร่วมอย่างเต็มที่และการร่วมตัดสินใจในการพัฒนา การแบ่งแยกเหล่านี้ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์มีความเสี่ยงต่อผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการระบาดของโรค
มีการตั้งคำถามขึ้นมาบ้าง ว่าทำไมกลุ่มชาติพันธุ์จึงมีความสำคัญต่อโลกสมัยใหม่ ทำไมเราไม่ควรปล่อยให้พวกเขาหลอมรวมกันเพื่อเปลี่ยนวิถีชีวิตและเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่องและถาวร การกลืนกลายทางวัฒนธรรม (Assimilation) มักถูกมองว่าเป็นหนทางที่จะให้พวกเขาเข้าถึงการศึกษาสมัยใหม่ ได้งานที่ได้รับค่าตอบแทน และบริโภควัฒนธรรมทางวัตถุของผู้คนกระแสหลัก พวกเขาจะพัฒนาคุณภาพชีวิตและหลีกหนีจากความยากจน แต่การตอบคำถามเหล่านี้อย่างเหมาะสม จำเป็นต้องอาศัยเหตุผลที่รอบด้านมากขึ้น
Photo by Charana Sapsuwan
โครงการ RISE ไม่ได้มองว่ากลุ่มชาติพันธุ์เป็นกลุ่มที่ด้อยโอกาส พวกเขาเป็นประชากรโลกกลุ่มสุดท้ายที่สามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างกลมกลืน พวกเขากำลังปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ ถึงร้อยละ 80 จากที่มีเหลืออยู่บนโลกนอกจากนี้ พวกเขายังเป็นส่วนหนึ่งของชุดความรู้ที่สำคัญของบรรพบุรุษและภูมิปัญญาท้องถิ่น เกี่ยวกับวิธีการปรับตัว การบรรเทา และลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ
ท่ามกลางวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่กำลังจะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความรู้ของกลุ่มชาติพันธุ์ในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอาจเป็นประโยชน์สำหรับโลกใบนี้ก็เป็นได้
Opmerkingen